วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562

10. การเรียนรู้แบบร่วมมือ

         ประสิทธิผลของการเรียนรู้แบบร่วมมือได้รับการยืนยันจากการวิจัยทั้งการศึกษาวิจัยในห้องทดลอง และในภาคสนาม การศึกษาสหสัมพันธ์ที่แสดงว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือได้ผลในห้องเรียนจริงๆ Johnson and Johnson (1994) สรุปว่าการวิจัยเชิงสาธิตแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1) การประเมินผลรวม ได้ผลว่าการ เรียนรู้แบบร่วมมือก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ 2) การประเมินผลรวมเชิงเปรียบเทียบ ได้ข้อสรุปว่า
         กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือดีกว่ากระบวนการเรียนรู้แบบอื่น ๆ 3) การประเมินผลระหว่างเรียนให้ผลที่ จุดมุ่งหมายที่การพัฒนาการการใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ และ 4) การศึกษาผลกระทบของการเรียนรู้แบบ ร่วมมือที่มีต่อผู้เรียน การเรียนรู้แบบร่วมมืออาจใช้ได้ดีกับทุกระดับชั้น ทุกเนื้อหาวิชา และทุกงาน(ภาระงาน) ด้วยความมั่นใจ ความร่วมมือเป็นความพยายามของมนุษย์โดยทั่วไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ต่าง ๆ ทาง การศึกษา ผลลัพธ์นี้ Johnson and Johnson (1989a) สรุปได้เป็น 3 ประเภท คือ ความพยายามที่จะบรรลุ ผลสัมฤทธิ์ สัมพันธภาพทางบวกระหว่างบุคคล และสุขภาพจิต
ทักษะแห่งความร่วมมือ
         Johnson and Johnson (1991, 1994) กล่าวว่า ทักษะระหว่างบุคคลหลายทักษะส่งผลต่อความสําเร็จ ในความพยายามร่วมมือกัน ทักษะแห่งความร่วมมือมี 4 ระดับ คือ
         1. ระดับสร้างนิสัย (forming) ทักษะขั้นพื้นฐานที่จําเป็นต่อการสร้างกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ ให้ทําหน้าที่ได้ เป็นทักษะเริ่มแรกของทักษะที่มุ่งการจัดการเรียนรู้และกําหนดมาตรฐานขั้นต่ํา พฤติกรรมที่ สําคัญบางประการเกี่ยวกับทักษะระดับสร้างนิสัย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
         เคลื่อนไหวในกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยไม่ก่อให้เกิดเสียงรบกวน เวลาการทํางานกลุ่มเป็น สิ่งมีค่า จึงควรใช้เวลาในการจัดโต๊ะเก้าอี้และจัดกลุ่มการเรียนให้น้อยที่สุดตามความจําเป็น นักเรียนอาจ จําเป็นต้องฝึกการจัดกลุ่มหลาย ๆ ครั้งก่อนที่จะปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผลอยู่ประจํากลุ่ม นักเรียนที่เดินไปเดินมาในช่วงที่กลุ่มทํางาน ไม่ก่อให้เกิดผลดี และยังรบกวน สมาธิของสมาชิกกลุ่มอื่นด้วย พูดเบา ๆ แม้ว่ากลุ่มการเรียนรู้ต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม แต่ไม่จําเป็นต้องใช้เสียงดัง เกินไป ครูอาจมอบหมายให้นักเรียนคนหนึ่งในกลุ่มเป็นผู้คอยกํากับคนอื่นให้พูดเบา ๆ ไม่ได้
         กระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วม สมาชิกกลุ่มทุกคนต้องร่วมกันคิดร่วมกันใช้สื่อการเรียน และมีส่วน ในความพยายามให้กลุ่มบรรลุผล การให้นักเรียนผลัดเปลี่ยนกันทําหน้าที่เป็นวิธีหนึ่งที่จะทําให้นักเรียนทุก คนในกลุ่มมีส่วนร่วม
         2. ระดับสร้างบทบาท (function) ทักษะที่จําเป็นต่อการจัดกิจกรรมกลุ่ม เพื่อทํางานให้สําเร็จ และรักษาสัมพันธภาพในการทํางานที่มีประสิทธิผลในหมู่สมาชิกกลุ่ม ทักษะระดับที่สองนี้เน้นที่การจัดการ ความพยายามของกลุ่มเพื่อทํางานให้สําเร็จและรักษาความสัมพันธ์ในการทํางานที่มีประสิทธิผล การทําให้ สมาชิกกลุ่มจดจ่ออยู่กับการทํางาน การหาวิธีดําเนินการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และการสร้าง บรรยากาศการทํางานที่น่าพึงพอใจและเป็นมิตรนั้น ถือว่าเป็นการผสมผสานอันสําคัญที่จะนําไปสู่กลุ่มการ เรียนรู้แบบร่วมมือที่มีประสิทธิผล ตัวอย่างทักษะระดับสร้างบทบาท
         แนะแนวทางการทํางานของกลุ่ม โดย (1) แจ้งและความมุ่งหมายของงานที่ได้รับมอบหมาย (2) เตือนให้ใช้เวลาตามที่กําหนดไว้ และ (3) เสนอขั้นตอนว่าจะทํางานอย่างไรให้สําเร็จอย่างมีประสิทธิผล ที่สุด
         แสดงออกถึงการสนับสนุนและการยอมรับ ทั้งการใช้คําพูดและการแสดงท่าทาง โดยใช้การ มองสบตา แสดงความสนใจ ชมเชยแสวงหาความคิด และข้อสรุปของผู้อื่น ขอความช่วยเหลือหรือความชัดเจนในสิ่งที่พูดหรือทําในกลุ่ม เสนอให้คําอธิบายหรือชี้แจง แปลความหมายข้อเสนอของสมาชิกอื่น เสริมพลังให้กลุ่มเมื่อเห็นว่าแรงจูงใจลดลง โดยเสนอแนะความคิดใหม่ ใช้อารมณ์ขัน หรือ แสดงความกระตือรือร้น บรรยายความรู้สึกของตนเมื่อมีโอกาสเหมาะ
         3. ระดับสร้างระบบ (formulating) เป็นทักษะที่จําเป็นต่อการสร้างความเข้าใจระดับลึกใน เนื้อหาวิชาที่เรียน เพื่อส่งเสริมให้ใช้กลยุทธ์การใช้เหตุผลที่มีคุณภาพสูง และเพิ่มความเชี่ยวชาญและความ คงทนของความรู้ที่ได้จากงานที่ปฏิบัติ ทักษะระดับที่สามนี้ทําให้เกิดกระบวนการทางสมองที่จําเป็นในการสร้างความเข้าใจที่ลึกลงไปในเนื้อหาความรู้ที่เรียน กระตุ้นการใช้กลยุทธ์การให้เหตุผลที่มีคุณภาพสูงและ เพิ่มความเชี่ยวชาญและความคงทนของเนื้อหาความรู้ที่เรียน เนื่องจากความมุ่งหมายกลุ่มการเรียนรู้คือ ต้องการเพิ่มการเรียนรู้ของสมาชิก ทักษะเหล่านี้มุ่งเป้าหมายเฉพาะไปที่การให้รูปแบบวิธีการในการจัด ระเบียบความรู้ที่เรียน ทักษะระดับสร้างระบบสามารถดําเนินไปได้ในขณะที่สมาชิกกลุ่มรับบทบาทต่าง ๆ กัน บทบาทที่สัมพันธ์กับทักษะเหล่านี้คือ
         ผู้สรุปย่อ เป็นผู้กล่าวสรุปสิ่งที่อ่าน หรือภิปรายให้สมบูรณ์เท่าที่จะทําได้โดยไม่อาศัยร่างบันทึก หรือสื่อการเรียนต้นฉบับ ควรสรุป ข้อเท็จจริงและความคิดสําคัญทั้งหมดไว้ในการสรุปย่อด้วย สมาชิกทุกคน ในกลุ่มต้องสรุปย่อจากความจําบ่อย ๆ เพื่อเพิ่มการเรียนรู้
         ผู้แก้ไข เป็นผู้ระวังเรื่องความถูกต้อง โดยคอยแก้ไขข้อสรุปของสมาชิก แล้วเพิ่มเติมข้อสนเทศที่ สําคัญซึ่งไม่ปรากฏในข้อสรุปประสานความร่วมมือ เป็นผู้ประสานความร่วมมือโดยขอให้สมาชิกอื่น ๆ เชื่อมโยงความรู้ที่ กําลังเรียนอยู่กับความรู้ที่เรียนไปแล้ว และกับสิ่งอื่น ๆ ที่สมาชิกเหล่านั้นรู้
         ผู้ช่วยจํา เป็นผู้หาวิธีการที่ดีในการจดจําข้อเท็จจริงและความคิดสําคัญ โดยการใช้ภาพวาด สร้าง มโนภาพ หรือวิธีจําอื่น ๆ แล้วนํามาร่วมหารือในกลุ่ม
         ผู้ตรวจสอบความเข้าใจ เป็นผู้ขอให้สมาชิกกลุ่มอธิบายเป็นขั้นเป็นตอนถึงเหตุผลที่ใช้ในการ ทํางานให้สําเร็จ ซึ่งจะทําให้การให้เหตุผลของนักเรียนชัดแจ้ง และเปิดกว้างต่อการปรับแก้และอภิปราย
         ผู้ขอความช่วยเหลือ เป็น ผู้เลือกคนที่จะคอยให้ความช่วยเหลือเพื่อนในกลุ่ม รวมทั้งเป็นผู้ตั้ง คําถามที่ชัดเจนและตรงประเด็น และทําอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะช่วยเหลือสําเร็จ
         ผู้อธิบาย เป็นผู้บรรยายวิธีการทํางานให้สําเร็จ (โดยไม่ให้คําตอบ) ให้ข้อมูลย้อนกลับที่เจาะจง เกี่ยวกับงานนักเรียนอื่น และลงท้ายด้วยการขอให้นักเรียนอื่นบรรยายหรือสาธิตวิธีการทํางานให้สําเร็จ
         ผู้ให้ความสะดวกในการอธิบาย เป็นผู้ขอให้สมาชิกกลุ่มวางแผนที่จะสอนเนื้อหาความรู้ให้ นักเรียนคนอื่นโดยละเอียด การวางแผนวิธีการถ่ายทอดความรู้ที่ดีที่สุด มีผลต่อคุณภาพของกลยุทธ์การให้ เหตุผลและความคงทนของความรู้
         4. ระดับสร้างเสริม (fermenting) ทักษะที่จําเป็นต่อการส่งเสริมการรับรู้เหตุผลในสิ่งที่เรียน ความขัดแย้งด้านการรู้คิด(อภิปัญญา) การค้นหาความรู้เพิ่มเติม และการสื่อสารกันด้วยหลักเหตุผลเมื่อมีการ สรุปผล ทักษะแห่งความร่วมมือระดับที่สี่ ที่ทําให้นักเรียนสามารถเข้าร่วมในการโต้แย่งทางวิชาการได้ ประเด็นสําคัญที่สุดบางประการของการเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อ สมาชิกกลุ่มท้าทายการสรุปผล และการให้เหตุผล ของกันและกันอย่างคล่องแคล่ว การโต้แยงทางวิชาการทําให้สมาชิกกลุ่ม “เจาะลึก” ในเนื้อหาความรู้ที่เรียน ระคมหลักเหตุผลในข้อสรุป คิดแปลกแยกเกี่ยวกับปัญหา หาข้อสนเทศเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนจุดยืนของตนละอภิปรายโต้แย้งอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับทางเลือกของการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ ทักษะที่เกี่ยวข้องกับ การโต้แย้งทางวิชาการ ได้แก่
         วิจารณ์ความคิด โดยไม่วิจารณ์คน
         แบ่งแยกความแตกต่าง เมื่อมีความเห็นขัดแย้งขึ้นในกลุ่มการเรียนรู้
         บูรณาการความคิดหลายความคิดให้เป็นจุดยืนเดียว
         ขอคําชี้แจงในเรื่องการสรุปผลผลหรือคําตอบของสมาชิก
         ขยายความข้อสรุปหรือคําตอบของสมาชิกอื่น โดยเพิ่มเติมข้อมูลหรือแสดงนัยที่นอกเหนือ
ออกไป
         ตรวจสอบโดยการตั้งคําถามซึ่งนําไปสู่ความเข้าใจที่ลึกลงไป หรือการวิเคราะห์ (มันจะได้ผล หรือไม่ในสถานการณ์นี้” “มีอย่างอื่นอีกหรือไม่ที่ทําให้คุณเชื่อ)
         ให้คําตอบลึกลงไปอีกโดยเจาะลึกลงไปนอกเหนือคําตอบหรือข้อสรุปแรก ให้คําตอบที่มีความ เป็นไปได้หลายๆคําตอบให้เลือก
         ทดสอบความจริงโดยการตรวจสอบงานของกลุ่มในเรื่องวิธีการทํางาน เวลาที่มี และปัญหาที่ 1 กลุ่มเผชิญ
         ทักษะความร่วมมือช่วยให้สมาชิกกลุ่มมีแรงจูงใจในการให้คําตอบที่ลึกมีคุณภาพสูง นอกเหนือจากคําตอบที่ตอบออกมาอย่างฉับพลัน โดยการกระตุ้นการคิดและความอยากรู้อยากเห็นทางพุทธิ ปัญญาของสมาชิกกลุ่ม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับบล็อค

บล็อกนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิจิตรา ธงพานิช สาขาหลักสูตรและนว...