วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562

8. การวางแผนจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้



          Joyce and weil, (1996 : 334) อ้างว่า มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยที่ชี้ให้เห็นว่า การสอนมุ่งเน้นการให้ ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกว่ามีบทบาทในการเรียน ทำให้ผู้เรียนมีความตั้งใจในการเรียนรู้และช่วย ให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียน การเรียนการสอน โดยจัดสาระและวิธีการให้ผู้เรียนอย่างดีทั้ง ทางด้านเนื้อหา ความรู้ และการให้ผู้เรียนใช้เวลาเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ (academic learning) เป็น ประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนมากที่สุด ผู้เรียนมีจิตใจจดจ่อกับสิ่งที่เรียนและช่วยให้ผู้เรียนถึง 80% ประสบความสำเร็จในการเรียน นอกจากนั้นยังพบว่า บรรยากาศการเรียนที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้เรียน สามารถสกัดกั้นความสำเร็จของผู้เรียนได้ ดังนั้น ผู้สอนจึงจำเป็นต้องระมัดระวัง ไม่ทำให้ผู้เรียนเกิด ความรู้สึกในทางลบ เช่น การดุด่าว่ากล่าวแสดงความไม่พอใจ หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้เรียน
การเรียนการสอนโดยตรง
 การเรียนการสอนโดยตรง ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญๆ 5 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นนำ
          1.1 ผู้สอนแจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียน และระดับการเรียนรู้หรือพฤติกรรมการเรียน]" คาดหวังแก่ผู้เรียน
          1.2 ผู้สอนชี้แจงสาระของบทเรียน และความสัมพันธ์กับความรู้และประสบการเก็บของ ผู้เรียนอย่างคร่าวๆ
         1.3 ผู้สอนชี้แจงกระบวนการเรียนรู้ และหน้าที่รับผิดชอบของผู้เรียนในการเรียนแต่ละขั้นตอน
ขั้นที่ 2 ขั้นนำเสนอบทเรียน
         2.1 หากเป็นการนำเสนอเนื้อหาสาระ ข้อความรู้ หรือมโนทัศน์ ผู้สอนควรกลั่นกรองและ สกัดคุณสมบัติเฉพาะของมโนทัศน์เหล่านั้น และนำเสนออย่างชัดเจน พร้อมทั้งอธิบายและยกตัวอย่าง ประกอบให้ผู้เรียนเข้าใจ ต่อไปจึงสรุปคำนิยามของมโนทัศน์เหล่านั้น
         2.2 ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ ก่อนให้ผู้เรียนลงมือฝึกปฏิบัติ หากผู้เรียนยังไม่เข้าใจ ต้องสอนซ่อมเสริมให้เข้าใจก่อน
ขั้นที่ 3 ขั้นปฏิบัติตามแบบ (structured practice)
         ผู้สอนปฏิบัติให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง ผู้เรียนปฏิบัติตาม ผู้สอนให้ข้อมูลป้อนกลับ ให้การ เสริมแรงหรือแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้เรียน
ขั้นที่ 4 ขั้นฝึกปฏิบัติภายใต้การกำกับของผู้ชี้แนะ (guided practice)
         ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยผู้สอนคอยดูแลอยู่ห่างๆ ผู้สอนจะสามารถประเมินการ เรียนรู้และความสามารถของผู้เรียนได้จากความสำเร็จและความผิดพลาดของการปฏิบัติของผู้เรียน และ ช่วยเหลือผู้เรียน โดยให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อให้ผู้เรียน แก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ
ขั้นที่ 5 การฝึกปฏิบัติอย่างอิสระ (independent practice)
         หลังจากที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติตามขั้นที่ 4 ได้ถูกต้องประมาณ 8.5 496 แล้ว ผู้สอนควร ปล่อยให้ผู้เรียนปฏิบัติต่อไปอย่างอิสระ เพื่อช่วยให้เกิดความชำนาญ และการเรียนรู้อยู่คงทน ผู้สอนไม่ จำเป็นต้องให้ข้อมูลป้อนกลับในทันที สามารถให้ภายหลังได้ การฝึกในขั้นนี้ไม่ควรทำติดต่อกันในครั้งเดียว ควรมีการฝึกเป็นระยะ ๆ เพื่อช่วยให้การเรียนรู้อยู่คงทนนานขึ้น
ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบการเรียนการสอนทางตรง
การเรียนการสอนแบบนี้ เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ตรงไปตรงมา ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทั้ง ทางด้านพุทธิพิสัย และทักษะพิสัยได้เร็วและได้มากในเวลาจำกัด ไม่สับสน ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตามความสามารถของตนจนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียนและมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
            สรุป การสอนโดยตรงโดยทั่วไปมี 3 ขั้นตอนได้แก่
             1 การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน
             2 การนำเสนอข้อมูลใหม่
             3 การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติให้ข้อมูลย้อนกลับและการประยุกต์ใช้
            ขั้นที่ 1 การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน
            สร้างแรงจูงใจผู้เรียนให้มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะมีความปรารถนาที่จะเรียนรู้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้และมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติภาระงานที่ได้รับมอบหมายจนกระทั่งงานเสร็จสิ้น
            ขั้นที่ 2  การนำเสนอข้อมูลหมายให้กับผู้เรียน
            การอธิบาย พยายามใช้การปฏิสัมพันธ์และการป้อนคำถาม-ถามทีละขั้นตอน
            สาธิต  เรียนการสอนที่ซับซ้อนปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดด้วยมีเครื่องมือจำกัดและ
คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เรียน
            ตำรา แหล่งเรียนรู้ที่มีคุณค่า
            แบบฝึกหัดสำหรับผู้เรียน การฝึกเขียนการจัดระบบระเบียบและการจัดเก็บข้อมูล
สารสนเทศ
            โสตทัศนูปกรณ์ สร้างความน่าสนใจและแม่นยำในการนำเสนอข้อมูลใหม่ให้กับผู้เรียน
             ขั้นที่ 3  การ การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติให้ข้อมูลย้อนกลับและการประยุกต์ใช้
            สาระเบื้องต้นคือ การยืนยันความถูกต้องเพื่อความแน่ใจและการให้แนวคิดและข้อเสนอ
 แนะ
            ผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะต้องทำงานเป็นรายบุคคลแม้ว่าการทำงานเป็นกลุ่มจะเป็นที่ยอมรับก็ตาม
โอกาสที่ผู้เรียนจะได้รับได้แก่ : ตอบคําถาม การแก้ปัญหา สร้างโครงสร้าง ต้นแบบวาดแผนภูมิ สาธิตทักษะเป็นต้น
            การเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
            การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง(Construstivist Methods : CLM) มีพื้นฐานแนวคิดที่ว่าผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจะให้โอกาสผู้เรียนในการสร้างองค์ความรู้จากความรู้ที่มาก่อนเพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่และความเข้าใจจากประสบการณ์จริงการเรียนรู้จักวิธีการนี้ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้สำรวจถึงความเป็นไปได้คิดวิธีแก้ปัญหาทดสอบแนวคิดใหม่ๆการร่วมมือกับผู้เรียนการคิดทบทวนปัญหาและท้ายที่สุดคือเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ตนเองคิดค้นขึ้นการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเชื่อว่าความรู้นั้นเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละคนและสิ่งแวดล้อม
            การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นการเรียนรู้ตามแนวคิดของคอนตรัคติวิสท์(Construstivist) ที่เปลี่ยนแนวคิดในการจัดการศึกษาตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม(Behaviorism) ซึ่งระบุจุดประสงค์ (Domains  of objective) ระดับความรู้  (Level of knowledge)
และการให้แรงเสริม(Reeinforcement)เป็นแนวคิดในการจัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้
ความคิด (Cognitive theory) ที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ของตนเอง(construct their own knowledge)จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่เป็นผลมาจากประสบการณ์และระเบียบแบบแผนทางความคิดของผู้เรียนแต่ละคนการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์มุ่งเตรียมผู้เรียนให้สามารถแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่คลุมเครือทฤษฎีการเรียนรู้แบบ constructivism สนใจศึกษากระบวนการเรียนรู้ด้วยการกระทำของตนเองเมื่อเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งทางปัญญาขึ้นบุคคลจะใช้โครงสร้างทางปัญญา(Cognitive structure)ที่มีอยู่เดิมตามปฏิสัมพันธ์กับ
สิ่งแวดล้อมหรือเพื่อนๆที่อยู่รอบข้างความขัดแย้งทางปัญญาจึงเป็นแรงจูงใจให้เกิดการต่อ
ไตร่ตรอง (reflection)อันเป็นกิจกรรมของการตรวจสอบและปรับเปลี่ยนสมมติฐานทางความคิดด้วยเหตุและผลซึ่งนำไปสู่การสร้างโครงสร้างใหม่ทางปัญญาต่อไป
            การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
            การเรียนรู้แบบการสร้างความรู้ด้วยตนเอง  (Construstivist Methods : CLM)
เชื่อว่าความรู้นั้นเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละบุคคลและสิ่งแวดล้อมผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจะให้โอกาสผู้เรียนในการสร้างความรู้จากความรู้ที่มาก่อนเพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่และความเข้าใจจากประสบการณ์จริงในการเรียนรู้ผู้เรียน
จะได้รับการส่งเสริมให้สำรวจถึงความเป็นไปได้วิธีคิดแก้ปัญหา ตรวจสอบแนวคิดใหม่ๆ การร่วมมือกับผู้อื่น การคิดทบทวนปัญหาและท้ายที่สุดคือเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
ที่ตนเองคิดค้นขึ้น
            ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการสร้างความต่อเนื่องระหว่างข้อมูลสารสนเทศใหม่ กับ
ความรู้เดิม รู้เป็นผลของการผลิตหรือการสร้างสรรค์ทางปัญญา มนุษย์จะเรียนรู้ได้อย่างดีที่สุด ถ้าหากได้ลงมือสร้างความหมายหรือความเข้าใจของตนด้วยตนเอง การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อผู้เรียน
สร้างโครงสร้างความรู้หรือความเข้าใจอย่างแข็งขันและมีเจตนามุ่งมั่นชัดเจน โดยผู้เรียน
จะสลายความขัดแย้ง(Conflict Resolution) หรือความไม่เข้ากันของแนวคิดหรือข้อมูลต่างๆ โดยการพินิจพิเคราะห์คำอธิบายหรือเหตุผลเชิงทฤษฎี มนุษย์สร้างโลกทัดของตนเอง
ขึ้นจากประสบการณ์จริงในเวลานั้น และโครงสร้างความรู้เดิมที่อยู่ในรูป Schema มนุษย์ใช้ Schema ในการตีความหรือสร้างความหมายให้กับประสบการณ์หรือข้อมูลใหม่ เมื่อมีการเรียนรู้
เกิดขึ้นจะมีการปรับ Schema ให้มีความครอบคลุม และมีประสิทธิภาพในการตีความที่สูงขึ้น
            ในเรื่องกระบวนการเรียนการสอนผู้เรียนมีความสำคัญในฐานะผู้ที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุหรือปรากฏการณ์ โดยการสังเกต การวัดหรือประมาณการ การตีความ หรือการกระทำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจสร้างความคิดรวบยอดต่อสิ่งเหล่านั้น ผู้เรียนเป็นผู้สร้างแนวทางแก้ปัญหา
ของตนเอง ดังนั้น กลุ่มConstrustivis จึงเห็นคุณค่าของความคิดริเริ่มความเป็นอิสระในความคิด
ของผู้เรียน แม่ให้ความสำคัญและอิทธิพลของบริบทการเรียนรู้และภูมิหลังเกี่ยวกับความเชื่อ
และ เจตคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนรู้
            Murphy (1997 : Online ; citing Glasersfield 1999) อธิบายสรุปได้ว่า บุคคลสร้างความรู้
โดยอาศัยการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสและการสื่อสารในขณะที่ตนเองมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนหรือจัดระบบประสบการณ์เดิมของตนเองใหม่ ดังนั้นความรู้
จึงไม่สามารถถ่ายทอดจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้  กลาเซอร์ฟิลด์ อธิบายการเรียนรู้
ว่าไม่เกี่ยวกับสิ่งเร้าและการตอบสนอง แต่การเรียนรู้เกิดจากการกำกับตนเอง (self -  regulation) และการสร้างมโนทัศน์จากการสะท้อนความคิดซึ่งกันและกัน
             murphy ( murphy1997 : Online) รวบรวมแนวคิดของนักการศึกษาต่างๆ ในการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ สรุปได้ดังนี้
            1. กระตุ้นให้ผู้เรียนใช้มุมมองที่หลากหลายในการนำเสนอความหมายของมโนทัศน์
            2. ผู้เรียนเป็นผู้กำหนดเป้าหมายและจุดมุ่งหมายการเรียนของตนเองหรือจุดมุ่งหมายของ
การเรียนการสอนเกิดจากการเจรจาต่อรองระหว่างผู้เรียนกับครูผู้สอน        
            3. สอนแสดงบทบาทเป็นผู้ชี้แนะ ผู้กำกับผู้ฝึกฝนอำนวยความสะดวกในการเรียน
ของผู้เรียน
            4. จัดบริบทของการเรียน เช่น กิจกรรม โอกาส เครื่องมือ   สภาพแวดล้อม
ที่ส่งเสริมวิธีการคิดและการกำกับและรับรู้เกี่ยวกับตนเอง
            5. ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญ ในการสร้างความรู้และกำกับการเรียนรู้ของตนเอง
            6. จัดสถานการณ์การเรียน สภาพแวดล้อม ทักษะ เนื้อหาและงานที่เกี่ยวข้องกับนักเรียน
ตามสภาพที่เป็นจริง
            7.ใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิเพื่อยืนยันสภาพการณ์ที่เป็นจริง
            8. ส่งเสริมการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ด้วยการเจรจาต่อรองทางสังคมและการเรียนรู้
ร่วมกัน
            9. พิจารณาความรู้เดิม ความเชื่อและทัศนคติของนักเรียนประกอบการจัดกิจกรรม
การเรียน
            10. ส่งเสริมการแก้ปัญหา ทักษะการคิดระดับสูงและความเข้าใจเรื่องที่เรียนอย่างลึกซึ้ง   11. นำความผิดพลาด ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องของนักเรียนมาใช้ให้เป็นประโยชน์
ต่อการเรียนรู้
            12. ส่งเสริมให้นักเรียนค้นหาความรู้อย่างอิสระ วางแผนและการดำเนินงานเพื่อให้
บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ของตนเอง
            13. ให้นักเรียนได้เรียนรู้งานที่ซับซ้อน ทักษะและความรู้ที่จำเป็นจากการลงมือ
ปฏิบัติด้วยตนเอง
            14. ส่งเสริมให้นักเรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ของเรื่องที่เรียน
            15. อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ของนักเรียนโดยให้คำแนะนำหรือให้ทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นต้น
            16. วัดผลการเรียนรู้ของนักเรียนตามสภาพที่เป็นจริงขณะดำเนินกิจกรรมการเรียนการ
สอนจากแนวคิดของนักการศึกษาดังกล่าว
            Gagnon & Collay (2001 : 2)ได้เสนอแนวคิดในการออกแบบการเรียนรู้ตามทฤษฎี
คอนสตรัคติวิสต์  (Construstivist Learning design) วาดประกอบด้วย 6 ส่วนที่สำคัญได้แก่
สถานการณ์ (Situation) การจัดกลุ่ม (Grouping)  การเชื่อมโยง(Bridge) การซักถาม (Question)  การจัดแสดงผลงาน (Exhibit) และการสะท้อนความรู้สึกในการปฏิบัติงาน (Reflection)
โดยในการออกแบบครั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ครูผู้สอนวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และ
สะท้อนกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน( Reflection about the process of student learning) กล่าวคือ ครูจะจัดสถานการณ์เพื่อให้นักเรียนอธิบายเรื่องกระบวนการในการจัดกลุ่ม (Grouping) นักเรียนหรือซื้ออุปกรณ์สำหรับใช้ในการอธิบายสถานการณ์พยายามสร้างความเชื่อมโยง
(Bridge) ระหว่างสิ่งที่เป็นความรู้เดิมของนักเรียนกับสิ่งที่นักเรียนต้องการจะเรียนรู้
            สรุปคุณลักษณะของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์มีดังนี้
             1. ผู้เรียนสร้างความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง
             2. การเรียนรู้สิ่งใหม่ขึ้นกับความรู้เดิมและความเข้าใจที่มีอยู่ในปัจจุบัน
             3. การมีปฏิสัมพันธ์ต่อสังคมมีความสำคัญต่อการเรียนรู้
             4. การจัดสิ่งแวดล้อมกิจกรรมที่คล้ายคลึงกับชีวิตจริงทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
อย่างมีความหมาย
            ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ ดังนั้นตัวทฤษฎีเองไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนการสอนไม่มีลำดับขั้นการสอน Henrique (1997) ศึกษาทิดสะดี Honda Civic และตีความผิดคดีนี้โดยพิจารณาจากมุมมองด้าน และตีความผิดคดีนี้โดยพิจารณาจากมุมมองด้านปรัชญา การจิตวิทยา ด้านญาณวิทยาและด้านการเรียนการสอนและจำแนกทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ได้ 4 แนวคิดได้แก่
            1. แนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ แบบกระบวนการทางสมองในการประมวลผล
(information processing approach )หรือแนวคิดแบบการประมวลผลข้อมูลนั้น ใช้พื้นฐาน
ที่ว่านักเรียนเรียนรู้สิ่งที่เป็นความจริงไม่ว่าจะเรียนรู้จากครูหรือการได้รับประสบการณ์การเรียนรู้โดยการประมวลผลข้อมูลนี้ใช้หลักว่ามีความจริง ที่เป็นสากลที่สามารถวัดและทำเป็นแบบได้ ตามหลักปรัชญาของพอสิทิวิสต์ (positivits philosophical tradition)
            2. แนวคิดอินเตอร์เอกทีฟคอนสตรัคติวิสท์ (interactive Constructivist approach) อินเทลแรกทีฟคอนสตรักติวิสต์ เป็นมุมมองที่ว่านักเรียนสร้างความรู้และเรียนรู้เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กัน จับต้องได้และผู้คนรอบข้าง
            3. แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์เชิงสังคม (social constructivist approach) แนวคิดแบบโซชัก สตรักติวิสท์ แนวคิดนี้ใช้หลักการว่าความรู้เกิดขึ้นในระดับชุมชนเมื่อผู้คนที่อยู่ในชุมชนนั้นมีปฏิสัมพันธ์กัน
            4. แนวคิดเรดิคอลคอนสตรัคติวิสท์ (radical constructivist approach) แนวคิดแบบแรติคือต้น สตรักติวิสท์ แนวคิดนี้เชื่อว่าความคิดมาหมายหลากหลายล้วนแต่มีทางที่จะเป็นจริงได้ แนวคิดนี้จึงบอกว่าไม่ มีความคิดใดเป็นจริงมากกว่ากัน
แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์ ทั้ง 4 แนวคิด มีข้อตกลงเบื้องต้นที่อยู่ภายใต้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ เหมือนกัน สรุปได้ 3 ประการคือ
            1. การเรียนรู้ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล ผู้เรียนเป็นผู้รับผิดชอบการเรียนรู้ของ ตน ไม่มีบุคคลใดสามารถเรียนรู้แทนกันได้
            2. ความรู้ ความเข้าใจและความเชื่อที่มีอยู่เดิมส่งผลต่อการเรียนรู้
            3. ความขัดแย้งทางความคิดเอื้ออำนวยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ เพื่อลดความขัดแย้งทางความคิด
            ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ แสดงให้เห็นจุดเปลี่ยนทางด้านการศึกษา กล่าวคือ เปลี่ยนจากรูปแบบ การศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งเน้นในเรื่องเชาว์ปัญญา (Intelligence) จุดประสงค์ (Domains of objective) ระดับความรู้ (Level of Knowledge) และการให้แรงเสริม (Reinforcement) มาเป็นรูปแบบการจัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้ความคิด (Cognitive theory) ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญของการ เรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ (Constructivist learning) ที่มีความเชื่อที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้าง ความรู้ของตนเอง (Construct their own knowledge) จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม (Gagnon & Collay 2001:1)
            ข้อตกลงเกี่ยวกับการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
            1. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ เมื่อทำกิจกรรมการเรียนรู้
            2. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ หรือสร้างความหมาย เมื่อผู้เรียนปฏิบัติ กิจกรรม
            3. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสังคม เมื่อต้องการนำความหมายที่ตนเองสร้างขึ้นไป มี ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ
            การเรียนรู้แบบสร้างความรู้ด้วยตนเองสรุปได้ 3 ขั้น ( http://www2.southeastern.edu/ Academies/ Faculty /rhancock/ theory.htm#CM) ดังนี้
            1. การทำความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
            2. การระบุ การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
            3. การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
            ขั้นตอนที่ 1 การทำความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
                 ผู้เรียนแต่ละคนต่างมีความคิดดั้งเดิมและมีความจำเป็นที่จะต้องเลือกหรือปรับเปลี่ยนมโน ทัศน์ (แนวคิด)ดังกล่าว ความคิดของผู้เรียนนั้นท้าทายความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง ชักชวนให้ผู้เรียนเปลี่ยน แนวคิดและยอมรับความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง
                        กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 1
                        สัมภาษณ์หรืออภิปรายกลุ่ม
                        แบ่งกลุ่มข้อมูลหรือจำแนกข้อมูล
                        แบ่งกลุ่มข้อมูล เรียงลำดับข้อมูลตามลักษณะบางประการ (เช่น มวลสาร)
                        จำแนกข้อมูล จัดกลุ่มวัตถุโดยใช้ลักษะทางคุณภาพหรือปริมาณ(สี รูปร่าง ขนาด)             แผนที่ความคิดหรือแผนผังมโนทัศน์ ระดมสมองที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหลัก
                        เหตุการณ์ที่ขัดแย้ง เหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผล
             ขั้นตอนที่ 2 การระบุ การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
                 การวางแผนแบบร่วมกัน : การวางแผนเครื่องมือที่สร้างแรงจูงใจที่เข้มแข็ง ผู้เรียนได้รับ ข้อมูลว่าจะต้องเรียนรู้อะไรจากหัวข้อบ้าง อภิปรายเป็นกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ให้ขอบข่าย สาระสำคัญในเรื่องที่เรียนรู้
                        กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 2
                                    นักจัดการขั้นสูง (advance organizers) ข้อมูลใหม่เชื่อมโยงเข้ากับความรู้เก่าที่มีอยู่แล้ว ได้อย่างไร
                                    อภิปัญญา (meta-cognition) ผู้เรียนกำกับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนเป็นผู้นำใน การเรียนรู้ด้วยตนเอง
                                    เทคนิควิทยาศาสตร์ (techno-sciencing) ใช้กิจกรรมเป็นฐานประกอบคำอธิบาย ตัดสินใจด้วยตนเอง ปรัชญาส่วนบุคคล การใช้ความคิดอุปมาอุปมัย ใช้แนวคิดที่คุ้นเคยนำแนวคิดแบบ อุปมาอุปมัยมาใช้
            ขั้นตอนที่ 3 การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
                        ผู้เรียนได้รับข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้
                        ความรู้ใหม่ที่สร้างขึ้นของคนส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
                        ความรู้ถูกทำให้กระจ่างและยืนยันความถูกต้องเมื่อผู้เรียนนำความรู้ใหม่ไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์
                        ความรู้ได้รับจะถูกปรับแต่งตามข้อมูลย้อนกลับที่ได้รับ
                        กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 3
·      การเรียนรู้แบบร่วมมือ สร้างความเข้าใจและแสดงออกในรูปการใช้โมเดล ช่วยในการสร้างความเข้าใจ และยังสาธิตมโนทัศน์ของความเข้าใจ หลักการ และ กระบวนการที่เป็นเลิศเทคนิคที่ใช้ในการแสวงหาความรู้และการยืนยันความถูกต้อง ของความรู้
·      การทดลอง/ การออกแบบและเทคโนโลยี ใช้สืบเสาะหาความรู้เป็นฐาน
·      วิธีการแบบบูรณาการ สร้างความเชื่อมโยงระหว่างหัวข้อ คำถามและแนวคิดอื่นๆ
·      สาขาวิชา (แนวคิดหลัก) การประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง ช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงสอดคล้องทฤษฎีและการปฏิบัติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับบล็อค

บล็อกนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิจิตรา ธงพานิช สาขาหลักสูตรและนว...