Harris and Car (1996
รุ่งนภา นุตราวงศ์, ผู้แปล 2545 : 14-1)
ให้คําจํากัดความของมาตรฐาน เนื้อหา(content standard) และมาตรฐานการปฏิบัติของผู้เรียน
(student performance standards) ดังนี้
มาตรฐานเนื้อหา (content
standard) ระบุองค์ความรู้ที่สําคัญ ทักษะและพัฒนาการด้านจิตใจ
ดังนี้
1. องค์ความรู้ที่สําคัญ (essential
knowledge) ระบุถึง แนวความคิด ประเด็นปัญหา ทางเลือก 1 กฎเกณฑ์
และความคิดรวบยอดในวิทยาการต่าง ๆ ที่สําคัญ ตัวอย่างเช่น
ผู้เรียนสามารถอธิบายช่วงเวลา
และเหตุการณ์สําคัญในประวัติศาสตร์ และวิเคราะห์ช่วงเวลา การเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่น
ชุมชน ในประทศและในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก
ผู้เรียนสามารถเข้าใจประวัติความเป็นมา และโครงสร้างของภาษาอังกฤษ (ประโยค
ย่อหน้า บทความ)
ผู้เรียนสามารถเข้าใจธรรมชาติและการทํางานของเซลล์
ทั้งการทํางานเป็นเอกเทศและการ ทํางานร่วมกันเป็นระบบที่ซับซ้อน
2. ทักษะ (Skills)
เป็นวิธีการคิด การทํางาน การสื่อสาร และการศึกษาสํารวจ ตัวอย่าง
ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการบรรยาย และอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ใช้ระเบียบวิธีการทางสถิติในการเก็บรวบรวมข้อมูล ตีความ เปรียบเทียบ
และสรุปผล เกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ในสังคม
3. พัฒนาการด้านจิตใจ (Habits
of mind) การเรียนรู้และประสบการณ์จากการศึกษาทั้งใน
โรงเรียนและนอกโรงเรียน มีผลต่อพัฒนาการด้านจิตใตของผู้เรียน รวมถึงกระบวนการในการศึกษาค้นคว้า
การแสดงข้อมูล หลักฐานสนับสนุนความคิด การอภิปรายโต้แย้ง
และความพึงพอใจในการทํางานร่วมกับ ผู้อื่น ตัวอย่าง
ผู้เรียนสามารถประเมินการเรียนรู้ของตนเอง
โดยการสร้างเกณฑ์เพื่อใช้ประเมินงานที่มี คุณภาพ
ผู้เรียนสามารถแสดงออกถึงความสามารถในการทํางานร่วมกับผู้อื่น
การเป็นผู้นําและความ มั่นคงในตนเอง
มาตรฐานการปฏิบัติของผู้เรียน
มาตรฐานการปฏิบัติ (student
performance standards) จะบอกถึงคุณภาพ โดยที่มาตรฐานเนื้อหาจะ
ระบุถึงสิ่งใดที่ผู้เรียนควรรู้และทักษะใดที่ผู้เรียนควรทําได้มาตรฐานการปฏิบัติจะบอกถึงระดับคุณภาพและ
ระดับที่ผู้เรียนต้องรู้หรือต้องทําสิ่งนั้นได้ ตัวอย่าง
กรณีที่มาตรฐานเนื้อหาระบุว่า
ผู้เรียนเรียนรู้และเข้าใจข้อมูลจากสื่อ ภาพ และบทอ่านจากสื่อต่าง ๆ อย่างหลากหลาย
มาตรฐานการปฏิบัติ อาจจะระบุว่า
ผู้เรียนควรอ่านหนังสืออย่างน้อยที่สุด25 เล่ม ต่อปี เลือกอ่าน
บทอ่านที่มีคุณภาพทั้งที่เป็นเรื่องอมตะ และเรื่องราวที่ทันสมัย
จากหนังสือวรรณกรรมสําหรับเด็ก หรือจาก แหล่งข้อมูลอื่น ๆ เช่น จาก นิตยสาร
หนังสือพิมพ์ หนังสือเรียน และสื่อเทคโนโลยี
Wiggins
(1994) จัดกลุ่มมาตรฐานการเรียนรู้ไว้4 กลุ่ม คือ
1. มาตรฐานผลลัพธ์หรือผลกระทบ (Impact)
เป็นมาตรฐานที่ระบุผลที่ต้องการจากการ
ปฏิบัติงานใดงานหนึ่งของผู้เรียน เช่น
กําหนดให้ผู้เรียนกล่าวสุนทรพจน์เพื่อให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อ ผู้ฟัง
หรือให้ผู้เรียนเขียนสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดเพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือให้ผู้เรียนใช้ความรู้ ทางภูมิศาสตร์ในการวางแผนอนาคต เป็นต้น
2. มาตรฐานกระบวนการ (Process)
เป็นมาตรฐานที่สะท้อนยุทธวิธี เทคนิค วิธีการที่เหมาะสมที่ 1
ใช้ในการปฏิบัติงาน เช่น มาตรฐานที่กําหนดให้ผู้เรียนกล่าวสุนทรพจน์อย่างชัดเจน
หรือให้ผู้เรียนเขียน สื่อสารได้อย่างสละสลวยสัมพันธ์กัน
หรือให้ผู้เรียนใช้กระบวนการที่เหมาะสมในการสร้างหรือปรับเปลี่ยน กฎเกณฑ์
3. มาตรฐานเนื้อหา (content)
เป็นมาตรฐานที่ระบุเนื้อหาสาระ ความคิดรวบยอด แนวความคิด
และข้อมูลต่าง ๆ เช่น ผู้เรียนรู้สมบัติของสสาร มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการผลิต
การจําหน่าย และความ ต้องการของตลาศ เป็นต้น
มาตรฐานที่แสคงกฎหรือรูปแบบ (Rule
or form) เป็นมาตรฐานที่เกี่ยวกับสูตร กฏเกณฑ์ซึ่งมี รูปแบบเฉพาะ
ปริมาตร ปริมาณ อัตราส่วน ตัวอย่าง ผู้เรียนสร้างกราฟ ซึ่งมีข้อมูลกํากับและใช้ได้อย่าง
ถูกต้อง มาตรฐานนี้เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น
ให้ผู้เรียนใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสาร ต่าง ๆ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง
ๆ
การกําหนดมาตรฐานในหน่วยการเรียนให้มาจากหลายมาตรฐาน
จึงจะช่วยให้กิจกรรมการเรียน การสอนและการประเมินความครอบคลุมยิ่งขึ้น
การกําหนดมาตรฐานที่เป็นกระบวนการก็จะไม่มี ความหมายหากไม่มีเนื้อหา
หรือการกําหนดมาตรฐานที่เน้นเนื้อหาเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ได้ประโยชน์แก่
ผู้เรียนเท่าที่ควร หากไม่มีการนํากระบวนการนําไปปรับใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ
การวางแผนจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้
Joyce and Wel, (1996:334)
อ้างว่า มีงานวิจัยจํานวนไม่น้อยที่ชี้ให้เห็นว่า การสอนมุ่งเน้นการให้
ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกว่ามีบทบาทในการเรียน
ทําให้ผู้เรียนมีความตั้งใจในการเรียนรู้และช่วย ให้ผู้เรียนประสบความสําเร็จในการเรียน
การเรียนการสอนโดยจัดสาระและวิธีการให้ผู้เรียนอย่างดีทั้ง ทางด้านเนื้อหา ความรู้
และการให้ผู้เรียนใช้เวลาเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ (academic learning) เป็น ประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนมากที่สุด
ผู้เรียนมีจิตใจจดจ่อกับสิ่งที่เรียนและช่วยให้ผู้เรียนถึง 80%
ประสบความสําเร็จในการเรียน นอกจากนั้นยังพบว่า
บรรยากาศการเรียนที่ไม่ปลอดภัยสําหรับผู้เรียน
สามารถสกัดกั้นความสําเร็จของผู้เรียนได้ ดังนั้น ผู้สอนจึงจําเป็นต้องระมัดระวัง
ไม่ทําให้ผู้เรียนเกิด ความรู้สึกในทางลบ เช่น การดุด่าว่ากล่าวแสดงความไม่พอใจ
หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้เรียน
การเรียนการสอนโดยตรง
การเรียนการสอนโดยตรง
การเรียนการสอนโดยตรง ประกอบด้วยขั้นตอนสําคัญๆ5 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นนํา
1.1
ผู้สอนแจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียน และระดับการเรียนรู้หรือพฤติกรรมการเรียนรู้ที่
คาดหวังแก่ผู้เรียน
1.2 ผู้สอนชี้แจงสาระของบทเรียน
และความสัมพันธ์กับความรู้และประสบการณ์เดิมของ ผู้เรียนอย่างคร่าวๆ
1.3 ผู้สอนชี้แจงกระบวนการเรียนรู้
และหน้าที่รับผิดชอบของผู้เรียนในการเรียนแต่ละ ขั้นตอน
ขั้นที่ 2 ขั้นนําเสนอบทเรียน
2.1 หากเป็นการนําเสนอเนื้อหาสาระ
ข้อความรู้ หรือมโนทัศน์ ผู้สอนควรกลั่นกรองและ
สกัดคุณสมบัติเฉพาะของมโนทัศน์เหล่านั้น และนําเสนออย่างชัดเจน
พร้อมทั้งอธิบายและยกตัวอย่าง ประกอบให้ผู้เรียนเข้าใจ ต่อไปจึงสรุปคํานิยามของมโนทัศน์เหล่านั้น
2.2
ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ ก่อนให้ผู้เรียนลงมือฝึกปฏิบัติ
หากผู้เรียนยังไม่เข้าใจ ต้องสอนซ่อมเสริมให้เข้าใจก่อน
ขั้นที่ 3 ขั้นปฏิบัติตามแบบ (structured
practice)
ผู้สอนปฏิบัติให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง ผู้เรียนปฏิบัติตาม
ผู้สอนให้ข้อมูลป้อนกลับ ให้การ เสริมแรงหรือแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้เรียน
ขั้นที่ 4 ขั้นฝึกปฏิบัติภายใต้การกํากับของผู้ชี้แนะ
(guided
practice)
ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
โดยผู้สอนคอยดูแลอยู่ห่างๆ ผู้สอนจะสามารถประเมินการ เรียนรู้และความสามารถของผู้เรียนได้จากความสําเร็จและความผิดพลาดของการปฏิบัติของผู้เรียน
และ ช่วยเหลือผู้เรียน โดยให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อให้ผู้เรียน แก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ
ขั้นที่ 5 การฝึกปฏิบัติอย่างอิสระ (independent
practice)
หลังจากที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติตามขั้นที่
4 ได้ถูกต้องประมาณ 85 - 90% แล้ว ผู้สอนควร
ปล่อยให้ผู้เรียนปฏิบัติต่อไปอย่างอิสระ เพื่อช่วยให้เกิดความชํานาญ
และการเรียนรู้อยู่คงทน ผู้สอนไม่ จําเป็นต้องให้ข้อมูลป้อนกลับในทันที
สามารถให้ภายหลังได้ การฝึกในขั้นนี้ไม่ควรทําติดต่อกันในครั้งเดียว
ควรมีการฝึกเป็นระยะๆ เพื่อช่วยให้การเรียนรู้อยู่คงทนนานขึ้น
ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบการเรียนการสอนทางตรง
การเรียนการสอนแบบนี้
เป็นไปตามลําดับขั้นตอน ตรงไปตรงมา ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทั้ง ทางด้านพุทธิพิสัย
และทักษะพิสัยได้เร็วและได้มากในเวลาจํากัด ไม่สับสน
ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตามความสามารถของตนจนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์
ทําให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียน และมีความรู้สึก
ต่อตนเอง
สรุป การสอนโดยตรงโดยทั่วไปมี 3
ขั้นตอน (http://www2.southeastern.eduAcademics/
Facus rhancock/theory.htm#Dr) ได้แก่
1. การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน
2. การนําเสนอข้อมูลใหม่
3. การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติ
ให้ข้อมูลย้อนกลับ และการประยุกต์ใช้
ขั้นที่ 1 การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน
สร้างแรงจูงใจผู้เรียน
ให้มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะมีความปรารถนาที่จะเรียนรู้ มีส่วนร่วมใน การเรียนรู้
และมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติภาระงานที่ได้รับมอบหมายจนกระทั่งงานเสร็จสิ้น
ขั้นที่ 2
การนําเสนอข้อมูลใหม่ให้กับผู้เรียน
การอธิบาย
พยายามใช้การปฏิสัมพันธ์และการป้อนคําถาม- ถามทีละขั้นตอน
การสาธิต การเรียนการสอนที่ซับซ้อน
ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กําหนด ด้วยมีเครื่องมือจํากัด
และคํานึงถึงความปลอดภัยของผู้เรียน
ตำรา
ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณค่า
แบบฝึกหัดสําหรับผู้เรียน
การฝึกเขียนการจัดระบบระเบียบและการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ
โสตทัศนูปกรณ์
สร้างความน่าสนใจและแม่นยําในการนําเสนอข้อมูลใหม่ให้กับผู้เรียน
ขั้นที่ 3
การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติให้ข้อมูลย้อนกลับ และการประยุกต์ใช้
สาระเบื้องต้นคือ
การยืนยันความถูกต้องเพื่อความแน่ใจและการให้แนวคิดและข้อเสนอแนะผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะต้องทํางานเป็นรายบุคคล
แม้ว่าการทํางานเป็นกลุ่มจะเป็นที่ยอมรับก็ตาม
โอกาสที่ผู้เรียนจะได้รับได้แก่:
การตอบคําถาม การแก้ปัญหา การสร้างโครงสร้าง ต้นแบบ วาดแผนภูมิ สาธิตทักษะ เป็นต้น
การเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist
Methods : CLM) มีพื้นฐานแนวคิดที่ว่า
ผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด ก็ต่อเมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเอง
จะให้โอกาสผู้เรียนในการสร้างองค์ความรู้จากความรู้ที่มาก่อน
เพื่อนําไปสู่การสร้างองค์ความรู้ ใหม่และความเข้าใจจากประสบการณ์จริง
การเรียนรู้จากวิธีการนี้ ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้สํารวจถึง ความเป็นไปได้
คิดวิธีแก้ปัญหา ทดสอบแนวคิดใหม่ๆ การร่วมมือกับผู้อื่น การคิดทบทวนปัญหา
และท้ายที่สุดคือเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ตนเองคิดค้นขึ้น
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เชื่อว่า
ความรู้นั้นเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละคนและสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นการเรียนรู้ตามแนวคอนตรัคติวิสท์
(constructivism)
ที่เปลี่ยนแนวคิดในการจัดการศึกษาตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism)
ซึ่งระบุจุดประสงค์ (Domains ofabiective)ระดับความรู้
(Level of Knowledge) และการให้แรงเสริม (Reinforcement)
เป็นแนวคิดในการ จัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้ความคิด (Cognitive
theory) ที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ของตนเอง (Construct
their own knowledge)จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม (Gagnon
& Collay 2001:1) ที่เป็นผล
มาจากประสบการณ์และระเบียบแบบแผนทางความคิดของผู้เรียนแต่ละคน
การเรียนรู้ตามแนวคอนตรัคติ วิสท์
มุ่งเตรียมผู้เรียนให้สามารถแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่คลุมเครือ
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบคอนตรัคติวิสท์
สนใจศึกษากระบวนการเรียนรู้ด้วยการกระทําของตนเอง
เมื่อเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งทางปัญญาขึ้น บุคคลจะใช้โครงสร้างทางปัญญา (cognitive
structure) ที่มีอยู่เดิมทําปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อนๆ
ที่อยู่รอบข้าง ความขัดแย้งทางปัญญาจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดการต่อไตร่ตรอง(reflection)
อันเป็นกิจกรรมของ การตรวจสอบ
และปรับเปลี่ยนสมมติฐานทางความคิดด้วยเหตุและผล ซึ่งนําไปสู่การสร้างโครงสร้างใหม่
ทางปัญญาต่อไป
การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructivist
Methods: CLM) เชื่อว่า ความรู้นั้นเป็น
เรื่องเฉพาะของแต่ละคนและสิ่งแวดล้อม ผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด
เมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วย ตนเอง
จะให้โอกาสผู้เรียนในการสร้างองค์ความรู้จากความรู้ที่มาก่อน
เพื่อนําไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ และความเข้าใจจากประสบการณ์จริง
ในการเรียนรู้ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้สํารวจถึงความเป็นไปได้
วิธีคิดแก้ปัญหา ทดสอบแนวคิดใหม่ๆ การร่วมมือกับผู้อื่น การคิดทบทวนปัญหา
และท้ายที่สุดคือเสนอวิธี แก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ตนเองคิดค้นขึ้น
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการสร้างความต่อเนื่องระหว่างข้อมูลสนเทศใหม่กับความรู้เดิม
การเรียนรู้ เป็นผลของการผลิตหรือสร้างสรรค์ทางปัญญา
มนุษย์จะเรียนรู้ได้อย่างดีที่สุด ถ้าหากได้ลงมือสร้าง
ความหมายหรือความเข้าใจของตนด้วยตนเอง การเรียนรู้เกิดขึ้น
เมื่อผู้เรียนสร้างโครงสร้างความรู้หรือความ
เข้าใจอย่างแข็งขันและมีเจตนามุ่งมั่นชัดเจน โดยผู้เรียนจะสลายความขัดแย้ง (Conflict
Resolution) หรือความ ไม่เข้ากันของแนวคิดหรือข้อมูลต่าง ๆ
โดยการพินิจพิเคราะห์คําอธิบายหรือเหตุผลเชิงทฤษฎี มนุษย์สร้างโลก
ทัศน์ของตนเองขึ้นจากประสบการณ์จริงในเวลานั้น
และโครงสร้างความรู้เดิมที่อยู่ในรูป schemaมนุษย์ใช้ Schema
ในการตีความหรือสร้างความหมายให้กับประสบการณ์หรือข้อมูลใหม่
เมื่อมีการเรียนรู้เกิดขึ้น จะมี การปรับ Schema ให้มีความครอบคลุม
และมีประสิทธิภาพในการตีความที่สูงขึ้น
ในเรื่องกระบวนการเรียนการสอนผู้เรียนมีความสําคัญในฐานะผู้ที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กันวัตถุหรือ
ปรากฏการณ์ โดยการสังเกต การวัดหรือประมาณการ การตีความ หรือการกระทํา เพื่อให้เกิพความเข้าไป
สร้างความคิดรวบยอคต่อสิ่งเหล่านั้น ผู้เรียนเป็นผู้สร้างแนวทางแก้ปัญหาของตนเอง
ดังนั้น กลุ่มConstructivist จึงเห็นคุณค่าของความคิดริเริ่ม
ความเป็นอิสระในความคิดของผู้เรียน และให้ความสําคัญแws อิทธิพลของบริบทการการเรียนรู้และภูมิหลังเกี่ยวกับความเชื่อและเจตคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนรู้
Murphy (1997: Online
; citing Glasersfield 1999) อธิบายสรุปได้ว่า
บุคคลสร้างความรู้โดยกาชัย
การรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสและการสื่อสารในขณะที่ตนเองมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
ทําให้มีการ ปรับเปลี่ยนหรือจัดระบบประสบการณ์เดิมของตนเองใหม่
ดังนั้นความรู้จึงไม่สามารถถ่ายทอดจากบุทก หนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้
กลาเซอร์ฟิลด์ อธิบายการเรียนรู้ว่าไม่เกี่ยวกับสิ่งเร้าและการตอบสนอง แต่การ :
เรียนรู้เกิดจากการกํากับตนเอง (self - regulation)และการสร้างมโนทัศน์จากการสะท้อนความคิดซึ่งกันและ
กัน
เมอร์ฟี (Murphy
1997 :Online) รวบรวมแนวคิดของนักการศึกษาต่าง
ๆ ในการจัดการเรียนการ สอนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ สรุปได้ดังนี้
1.
กระตุ้นให้ผู้เรียนใช้มุมมองที่หลากหลายในการนําเสนอความหมายของมโนทัศน์
2.
ผู้เรียนเป็นผู้กําหนดเป้าหมายและจุดมุ่งหมายการเรียนของตนเองหรือจุดมุ่งหมายของการ
เรียนการสอนเกิดจากการเจรจาต่อรองระหว่างผู้เรียนกับครูผู้สอน
3. ครูผู้สอนแสดงบทบาทเป็นผู้ชี้แนะ
ผู้กํากับ ผู้ฝึกฝน ผู้อํานวยความสะดวกในการเรียนของ
ผู้เรียน
4. จัดบริบทของการเรียน เช่น กิจกรรม
โอกาส เครื่องมือ สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมวิธีการคิด
และการกํากับและรับรู้เกี่ยวกับตนเอง
5. ผู้เรียนมีบทบาทสําคัญ
ในการสร้างความรู้และกํากับการเรียนรู้ของตนเอง
6. จัดสถานการณ์การเรียน สภาพแวดล้อม
ทักษะ เนื้อหาและงานที่เกี่ยวข้องกับนักเรียนตาม สภาพที่เป็นจริง
7.
ใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิเพื่อยืนยันสภาพการณ์ที่เป็นจริง
8. ส่งเสริมการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
ด้วยการเจรจาต่อรองทางสังคมและการเรียนรู้ร่วมกัน
9. พิจารณาความรู้เดิม
ความเชื่อและทัศนคติของนักเรียนประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอน
10. ส่งเสริมการแก้ปัญหา ทักษะการคิดระดับสูงและความเข้าใจเรื่องที่เรียนอย่างลึกซึ้ง 11. นําความผิดพลาด
ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องของนักเรียนมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้
12.
ส่งเสริมให้นักเรียนค้นหาความรู้อย่างอิสระ วางแผนและการดําเนินงานเพื่อให้บรวย
เป้าหมายการเรียนรู้ของตนเอง
13.
ให้นักเรียนได้เรียนรู้งานที่ซับซ้อน
ทักษะและความรู้ที่จําเป็นจากการลงมือปฏิบัติด้วย
ตนเอง
14.
ส่งเสริมให้นักเรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ของเรื่องที่เรียน 15.
อํานวยความสะดวกในการเรียนรู้ของนักเรียนโดยให้คําแนะนําหรือให้ทํางานร่วมกับผู้อื่น
เป็นต้น
16.
วัดผลการเรียนรู้ของนักเรียนตามสภาพที่เป็นจริงขณะดําเนินกิจกรรมการเรียนการสอนจาก
แนวคิดของนักการศึกษาดังกล่าว
Gagnon & Colay (2001
:2) ได้เสนอแนวคิดในการออกแบบการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ (Constructivist
learning design) ว่าประกอบด้วย6 ส่วนที่สําคัญได้แก่ สถานการณ์ (Situation)
การจัดกลุ่ม (Grouping) การเชื่อมโยง (Bridge)
การซักถาม (Questions) การจัดแสดงผลงาน (Exhibit)
และการสะท้อน ความรู้สึกในการปฏิบัติงาน (Reflection) โดยในการออกแบบครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้ครูผู้สอนวางแผนการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้และสะท้อนกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน (Reflection
about the process of student learning) กล่าวคือ
ครูจะจัดสถานการณ์เพื่อให้นักเรียนอธิบายเลือกกระบวนการในการจัดกลุ่ม (Grouping)
นักเรียนหรือสื่ออุปกรณ์
สําหรับใช้ในการอธิบายสถานการณ์พยายามสร้างความเชื่อมโยง (TBridge) ระหว่าง
สิ่งที่เป็นความรู้เดิมของนักเรียนกับสิ่งที่นักเรียนต้องการจะเรียนรู้
สรุปคุณลักษณะของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
มีดังนี้
1. ผู้เรียนสร้างความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง
2. การเรียนรู้สิ่งใหม่ขึ้นกับความรู้เดิมและความเข้าใจที่มีอยู่ในปัจจุบัน 3.
การมีปฏิสัมพันธ์ต่อสังคมมีความสําคัญต่อการเรียนรู้ 4. การจัดสิ่งแวดล้อม
กิจกรรมที่คล้ายคลึงกับชีวิตจริงทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างนี้
ความหมาย
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ ดังนั้นตัวทฤษฎีเองไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการ
จัดการเรียนการสอน ไม่มีลําดับขั้นการสอน Henrique (1997) ได้ศึกษาทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ และความ ทฤษฎีนี้
โดยพิจารณาจากมุมมองด้านปรัชญา ค้านจิตวิทยา ค้านญาณวิทยาและด้านการเรียนการสอนและ
จําแนกทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ ได้ 4 แนวคิด ได้แก่
. 1. แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์
แบบกระบวนการทางสมองในการประมวลผล (information processing
approach) หรือแนวคิดแบบการประมวลผลข้อมูลนั้น
ใช้พื้นฐานที่ว่านักเรียนเรียนรู้สิ่งที่เป็น ความจริง
ไม่ว่าจะเรียนจากครูหรือการได้รับประสบการณ์การเรียนรู้
โดยการประมวลผลข้อมูลนี้ใช้หลักว่ามีความจริงที่เป็นกลางที่สามารถวัดและทําเป็นแบบได้
ตามหลักปรัชญาของพอสทิวิสต์ (positivist philosophics tradition)
2. แนวคิดอินเตอร์เอกทีฟคอนสตรัคติวิสท์
(Interactive
constructivist approach) แนวคิดแบบ อินเทอแรกทิฟคอนสตรักติวิสต์
เป็นมุมมองที่ว่านักเรียนสร้างความรู้และเรียนรู้เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับกับสิ่งที่
จับต้องได้และผู้คนรอบข้าง
3. แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์เชิงสังคม (social
constructivist approach)แนวคิดแบบโซชักคัน สตรักติวิสต์
แนวคิดนี้ใช้หลักการว่าความรู้เกิดขึ้นในระดับชมชนเมื่อผู้คนที่อยู่ในชุมชนนั้นมีปฏิสัมพันธ์กัน
! "
4. แนวคิดเรคคอลคอนสตรัคติวิสท์ (radical
constructivist approach)แนวคิดแบบแรคคัลคัน สตรักติวิสต์ แนวคิดนี้เชื่อว่าความคิดมาหมายหลากหลายล้วนแต่มีทางที่จะเป็นจริงได้
แนวคิดนี้จึงบอกว่าไม่ มีความคิดใดเป็นจริงมากกว่ากัน
แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์ ทั้ง 4 แนวคิด
มีข้อตกลงเบื้องต้นที่อยู่ภายใต้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เหมือนกัน สรุปได้ 3
ประการคือ
1. การเรียนรู้
เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล ผู้เรียนเป็นผู้รับผิดชอบการเรียนรู้ของ ตน
ไม่มีบุคคลใดสามารถเรียนรู้แทนกันได้
2. ความรู้
ความเข้าใจและความเชื่อที่มีอยู่เดิมส่งผลต่อการเรียนรู้
3.
ความขัดแย้งทางความคิดเอื้ออํานวยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้
เพื่อลดความขัดแย้งทางความคิด
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
แสดงให้เห็นจุดเปลี่ยนทางด้านการศึกษา กล่าวคือ เปลี่ยนจากรูปแบบ
การศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งเน้นในเรื่องเซาว์ปัญญา (Intelligence, จุดประสงค์
(Domains of objective) ระดับความรู้ (Level of
Knowledge) และการให้แรงเสริม (Reinforcement, มาเป็นรูปแบบการจัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้ความคิด (Cognitive
theory) ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญของการ
เรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ (Constructivist learning) ที่มีความเชื่อที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้าง ความรู้ของตนเอง (Construct
their own knowledge) จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม (Gagnon
& Coly, 2001:1)
ข้อตกลงเกี่ยวกับการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
1. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ เมื่อทํากิจกรรมการเรียนรู้
2.
ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ หรือสร้างความหมาย
เมื่อผู้เรียนปฏิบัติ กิจกรรม
3.
ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสังคม
เมื่อต้องการนําความหมายที่ตนเองสร้างขึ้นไปร์มี ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
การเรียนรู้แบบสร้างความรู้ด้วยตนเองสรุปได้ 3 ขั้น (http://www2.southeastern.edu/ AcadermicsFaculty/thaicock/ thicory.htrn/CM.)
ดังนี้:
1.
การทําความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
2. การระบุ
การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
3.
การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
ขั้นตอนที่ 1
การทําความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
ผู้เรียนแต่ละคนต่างมีความคิดดั้งเดิมและมีความจําเป็นที่จะต้องเลือกหรือปรับเปลี่ยนมโน
ทัศน์ (แนวคิด)ดังกล่าว ความคิดของผู้เรียนนั้นท้าทายความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง
ชักชวนให้ผู้เรียนเปลี่ยน แนวคิดและยอมรับความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง
กลวิธีสําหรับขั้นตอนที่ 1
สัมภาษณ์หรืออภิปรายกลุ่ม
แบ่งกลุ่มข้อมูลหรือจําแนกข้อมูล
แบ่งกลุ่มข้อมูล
เรียงลําดับข้อมูลตามลักษณะบางประการ (เช่น มวลสาร)
จําแนกข้อมูล จัดกลุ่มวัตถุโดยใช้ลักษะทางคุณภาพหรือปริมาณ
(สี รูปร่าง ขนาด)
แผนที่ความคิดหรือแผนผังมโนทัศน์
ระดมสมองที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหลัก
เหตุการณ์ที่ขัดแย้ง
เหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผล
ขั้นตอนที่ 2 การระบุ
การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
การวางแผนแบบร่วมกัน :
การวางแผนเครื่องมือที่สร้างแรงจูงใจที่เข้มแข็ง ผู้เรียนได้รับ
ข้อมูลว่าจะต้องเรียนรู้อะไรจากหัวข้อบ้าง
อภิปรายเป็นกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ให้ขอบข่าย สาระสําคัญในเรื่องที่เรียนรู้
กลวิธีสําหรับขั้นตอนที่ 2
นักจัดการขั้นสูง (advance
organizers) ข้อมูลใหม่เชื่อมโยงเข้ากับความรู้เก่าที่มีอยู่แล้ว
ได้อย่างไร
อภิปัญญา (meta-cognition)
ผู้เรียนกํากับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนเป็นผู้นําใน
การเรียนรู้ด้วยตนเอง
เทคนิควิทยาศาสตร์ (techno-sciencing) ใช้กิจกรรมเป็นฐานประกอบคําอธิบาย
ตัดสินใจด้วยตนเอง ปรัชญาส่วนบุคคล การใช้ความคิดอุปมาอุปมัย
ใช้แนวคิดที่คุ้นเคยนําแนวคิดแบบ อุปมาอุปมัยมาใช้
ขั้นตอนที่ 3
การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
ผู้เรียนได้รับข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้
ความรู้ใหม่ที่สร้างขึ้นของคนส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
ความรู้ถูกทําให้กระจ่างและยืนยันความถูกต้องเมื่อผู้เรียนนําความรู้ใหม่ไปประยุกต์ใช้
สถานการณ์
ความรู้ได้รับจะถูกปรับแต่งตามข้อมูลย้อนกลับที่ได้รับ
กลวิธีสําหรับขั้นตอนที่ 3
· การเรียนรู้แบบร่วมมือ
สร้างความเข้าใจและแสดงออกในรูปการใช้โมเดล ช่วยในการสร้างความเข้าใจ
และยังสาธิตมโนทัศน์ของความเข้าใจ หลักการ และ กระบวนการที่เป็นเลิศเทคนิคที่ใช้ในการแสวงหาความรู้และการยืนยันความถูกต้อง
ของความรู้
· การทดลอง
การออกแบบและเทคโนโลยี ใช้สืบเสาะหาความรู้เป็นฐาน
· วิธีการแบบบูรณาการ
สร้างความเชื่อมโยงระหว่างหัวข้อ คําถามและแนวคิดอื่นๆ
· สาขาวิชา (แนวคิดหลัก)
การประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง ช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงสอดคล้องทฤษฎีและการปฏิบัติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น